Perfect Training

บริหารคนต่าง Gen อย่างไรให้ผลงานพุ่งกระฉูด – Gap of Generation

ทำไมต่างเจน ถึงต่างใจ และกลายเป็นปัญหาความขัดแย้งเรื้อรังในองค์กรได้

ในยุคปัจจุบันที่องค์กรต้องเผชิญกับการทำงานร่วมกันระหว่างพนักงานจากหลาย Generation คำว่า “Gap of Generation” หรือช่องว่างระหว่างวัย กลายเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานและบรรยากาศในองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อะไรคือสาเหตุของช่องว่างระหว่างวัย – Gap of Generation

  1. ประสบการณ์และสภาพแวดล้อมที่เติบโตมาแตกต่างกัน
    • Baby Boomers เติบโตมาในยุคที่ต้องพึ่งพาความอดทนและความขยันเพื่อความมั่นคงในอาชีพ ขณะที่ Gen Z โตมากับเทคโนโลยีและสังคมที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ทำให้มุมมองต่อการทำงานต่างกัน
  2. แนวคิดและค่านิยมที่ไม่เหมือนกัน
    • คนรุ่นเก่าอาจให้คุณค่ากับ “ความภักดีต่อองค์กร” และ “ความมั่นคง” มากกว่า ขณะที่คนรุ่นใหม่มองหางานที่มีความยืดหยุ่นและเปิดโอกาสให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว
  3. ความแตกต่างในวิธีการสื่อสาร
    • Baby Boomers และ Gen X คุ้นชินกับการประชุมแบบพบปะพูดคุยหรือโทรศัพท์ ขณะที่ Gen Y และ Gen Z คุ้นเคยกับการใช้แอปพลิเคชันแชตและอีเมลมากกว่า การสื่อสารที่แตกต่างกันอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดและขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
  4. ความคาดหวังต่อบทบาทหน้าที่ที่ไม่ตรงกัน
    • Baby Boomers และ Gen X มองว่าความก้าวหน้าในอาชีพต้องมาจากการพิสูจน์ตนเองเป็นเวลานาน ในขณะที่ Gen Y และ Gen Z ต้องการความก้าวหน้ารวดเร็วและการยอมรับจากองค์กร

เมื่อช่องว่างนี้ไม่ได้รับการจัดการ จะเกิดอะไรขึ้น?

  • การสื่อสารที่ผิดพลาด ส่งผลให้การทำงานล่าช้าและขาดประสิทธิภาพ
  • ความไม่พอใจในที่ทำงาน พนักงานบางเจนอาจรู้สึกว่าไม่ได้รับการเข้าใจหรือให้ความสำคัญ
  • ความขัดแย้งที่ส่งผลต่อบรรยากาศการทำงาน ซึ่งอาจนำไปสู่การลาออกของพนักงานหรือความรู้สึกไม่เป็นหนึ่งเดียวกันในทีม

เมื่อองค์กรเข้าใจปัจจัยเหล่านี้แล้ว การบริหารและเชื่อมโยงพนักงานต่าง Generation ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างมั่นคงในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

เปรียบเทียบ Generation ต่างๆ ในองค์กร

Generationปีเกิดข้อได้เปรียบสิ่งที่ต้องระวัง
Baby Boomers1946-1964มีประสบการณ์สูง, ซื่อสัตย์ต่อองค์กร, มีความรับผิดชอบอาจไม่ยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลง, ไม่คุ้นชินกับเทคโนโลยี, ให้ความสำคัญกับลำดับขั้นในองค์กรมากเกินไป
Gen X1965-1980มีความเป็นอิสระ, ปรับตัวเก่ง, มีทักษะบริหารจัดการอาจไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว, ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance มาก
Gen Y1981-1996มีความคิดสร้างสรรค์, ใช้เทคโนโลยีคล่องแคล่ว, ทำงานเป็นทีมได้ดีอาจเปลี่ยนงานบ่อย, ต้องการการยอมรับและ Feedback อย่างสม่ำเสมอ
Gen Z1997-ปัจจุบันมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสูง, ปรับตัวเร็ว, มีแนวคิดริเริ่มใหม่ๆอาจขาดประสบการณ์ในการทำงาน, ต้องการการสื่อสารที่รวดเร็วและชัดเจน

บริหารคนแต่ละ Gen ให้ผลงานพุ่งกระฉูดทำอย่างไร

  1. ให้พวกเขามีบทบาทเป็นที่ปรึกษา
  2. สร้างสภาพแวดล้อมที่เคารพประสบการณ์ของพวกเขา
  3. ใช้วิธีสื่อสารแบบดั้งเดิมควบคู่กับดิจิทัล
  4. มอบหมายงานที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ
  5. ให้ความสำคัญกับการยอมรับในที่ทำงาน
  6. เปิดโอกาสให้ถ่ายทอดความรู้แก่รุ่นใหม่
  7. สร้างโครงการที่ใช้ความรู้เชิงลึกของพวกเขา
  8. สนับสนุนให้ใช้เทคโนโลยีแบบค่อยเป็นค่อยไป
  9. รับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากพวกเขา
  10. ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  1. มอบหมายงานที่ต้องใช้ความเป็นอิสระ
  2. เปิดโอกาสให้พวกเขาแสดงความคิดเห็น
  3. สนับสนุน Work-Life Balance
  4. ให้โอกาสในการเป็นผู้นำโครงการ
  5. ใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับพวกเขา
  6. สร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ยืดหยุ่น
  7. ให้รางวัลตามผลลัพธ์ของงาน
  8. กระตุ้นให้พวกเขาพัฒนาทักษะใหม่ๆ
  9. รับฟังข้อเสนอแนะอย่างจริงจัง
  10. สร้างโอกาสในการเติบโตในสายอาชีพ
  1. ให้ Feedback อย่างสม่ำเสมอ
  2. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในงาน
  3. เปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตเร็วขึ้น
  4. ใช้การทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ
  5. สนับสนุนการทำงานแบบรีโมทหรือยืดหยุ่น
  6. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีความหมาย
  7. ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการทำงานร่วมกัน
  8. ให้โอกาสพวกเขาแสดงความคิดสร้างสรรค์
  9. ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตและงาน
  10. ส่งเสริมความเป็นผู้นำในทีม
  1. ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน
  2. เปิดโอกาสให้พวกเขาลองทำโปรเจกต์ใหม่ๆ
  3. สร้างสภาพแวดล้อมที่ยืดหยุ่น
  4. สื่อสารด้วยช่องทางที่รวดเร็วและทันสมัย
  5. ให้พวกเขามีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
  6. สนับสนุนให้ใช้ Social Media ในการทำงาน
  7. กระตุ้นให้พวกเขามีส่วนร่วมกับองค์กร
  8. ใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์
  9. ส่งเสริมการทำงานแบบ Agile และ Lean
  10. ให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย

ความท้าทายที่ผู้นำต้องเจอเมื่อต้องบริหารคนต่าง Gen

การบริหารคนที่มาจากหลากหลาย Generation เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะแต่ละช่วงวัยมีแนวคิด ค่านิยม และรูปแบบการทำงานที่แตกต่างกัน การที่ผู้นำสามารถจัดการกับความแตกต่างเหล่านี้ได้ จะช่วยให้ทีมทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ผู้นำต้องเผชิญกับความท้าทายเหล่านี้ก่อน

  1. ช่องว่างทางความคิดและมุมมองในการทำงาน
    Baby Boomers อาจให้ความสำคัญกับความมั่นคงและโครงสร้างองค์กรที่ชัดเจน ในขณะที่ Gen Z ต้องการความยืดหยุ่นและโอกาสในการแสดงความคิดเห็น ผู้นำต้องหาวิธีสร้างสมดุลให้ทุกฝ่ายรู้สึกว่ามีคุณค่าและได้รับการยอมรับ
  2. ความแตกต่างในการสื่อสาร
    การประชุมแบบพบหน้ากันอาจเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับ Baby Boomers และ Gen X แต่สำหรับ Gen Y และ Gen Z พวกเขาอาจมองว่าการสื่อสารผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์สะดวกและมีประสิทธิภาพมากกว่า ผู้นำต้องเลือกเครื่องมือและวิธีการสื่อสารที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม
  3. ความคาดหวังที่แตกต่างกันเรื่อง Work-Life Balance
    Gen X และ Gen Y ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ในขณะที่ Baby Boomers อาจมองว่าความทุ่มเทในการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ ผู้นำต้องวางนโยบายที่รองรับทั้งกลุ่มที่ต้องการความยืดหยุ่นและกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคง
  4. การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่รวมทุกคนเข้าด้วยกัน
    หากปล่อยให้ความแตกต่างระหว่าง Generation กลายเป็นกำแพง องค์กรอาจสูญเสียความสามัคคี ผู้นำต้องหาวิธีทำให้ทุกคนมองเห็นเป้าหมายเดียวกันและสร้างวัฒนธรรมที่ทุกคนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
  5. การปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัล
    แม้ว่า Gen Z และ Gen Y จะเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี แต่ Baby Boomers และบางส่วนของ Gen X อาจต้องการเวลาในการเรียนรู้ ผู้นำต้องหาทางให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันโดยไม่ทำให้ใครรู้สึกถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
  6. ความท้าทายด้านความก้าวหน้าในอาชีพ
    Gen Y และ Gen Z มักต้องการความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ Baby Boomers และ Gen X อาจมองว่าความสำเร็จต้องใช้เวลา ผู้นำต้องออกแบบเส้นทางการเติบโตที่ตอบโจทย์คนทุกวัย
  7. การรักษาคนเก่งจากทุก Generation
    หากองค์กรไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละ Generation ได้ อาจสูญเสียพนักงานที่มีศักยภาพไป ผู้นำต้องมีวิธีรักษาคนเก่งไว้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเส้นทางอาชีพ สร้างความท้าทายใหม่ๆ หรือให้โอกาสในการเติบโต

ผู้นำจะใช้ประโยชน์จากความแตกต่างในแต่ละ Gen มาเป็นโอกาสในการขับเคลื่อนองค์กรในยุคดิจิทัลอย่างไร

แม้ความแตกต่างระหว่างวัย (Gap of Generation) จะเป็นความท้าทาย แต่หากใช้ให้เป็นประโยชน์ ก็สามารถเปลี่ยนเป็นจุดแข็งขององค์กรได้ ผู้นำที่ฉลาดจะมองเห็นศักยภาพในความหลากหลายและใช้มันเพื่อสร้างโอกาสใหม่ๆ ดังนี้

  1. ใช้ประสบการณ์ของ Baby Boomers และ Gen X เป็นที่ปรึกษา
    พนักงานที่มีประสบการณ์สูงสามารถเป็นโค้ชหรือที่ปรึกษาให้กับพนักงานรุ่นใหม่ ถ่ายทอดความรู้และแนวคิดที่เป็นประโยชน์โดยไม่ต้องลองผิดลองถูกเอง
  2. ให้ Gen Y และ Gen Z นำเทคโนโลยีมาปรับใช้
    คนรุ่นใหม่สามารถช่วยองค์กรปรับตัวเข้าสู่ดิจิทัลได้เร็วขึ้น พวกเขาสามารถช่วยออกแบบระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ใช้ AI, Cloud, หรือ Automation เพื่อลดงานที่ไม่จำเป็น
  3. สร้างทีมที่ผสมผสานระหว่างวัย
    การทำให้คนต่าง Gen ทำงานร่วมกันในโครงการสำคัญจะช่วยให้แต่ละคนเรียนรู้จากกันและกัน และเกิดไอเดียที่หลากหลายมากขึ้น
  4. ใช้แนวคิด Reverse Mentoring
    นอกจากให้คนอาวุโสสอนคนรุ่นใหม่แล้ว ลองให้คนรุ่นใหม่สอนเทคโนโลยีหรือแนวคิดสมัยใหม่ให้คนรุ่นเก่าด้วย วิธีนี้จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยและทำให้เกิดการเรียนรู้แบบสองทาง
  5. สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ยืดหยุ่นและเปิดกว้าง
    องค์กรที่พร้อมเปิดรับความคิดเห็นจากทุกวัย จะทำให้พนักงานรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และสามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่
  6. ให้รางวัลและการยอมรับที่เหมาะสมกับแต่ละ Generation
    Baby Boomers อาจชอบรางวัลที่เป็นตำแหน่งหรือสถานะ ขณะที่ Gen Y และ Gen Z อาจชอบการยอมรับในที่สาธารณะและความท้าทายใหม่ๆ ผู้นำต้องเข้าใจและเลือกใช้ให้เหมาะสม
  7. ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวกลางในการทำงานร่วมกัน
    เครื่องมือดิจิทัล เช่น Microsoft Teams, Slack, หรือ Asana สามารถช่วยลดช่องว่างระหว่าง Generation ได้ โดยเฉพาะเมื่อองค์กรมีทีมที่ทำงานแบบ Hybrid หรือ Remote
  8. ส่งเสริมการเรียนรู้และพัฒนาทักษะตลอดเวลา
    ทุก Generation ต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัล การมีหลักสูตรออนไลน์หรือโปรแกรมพัฒนาทักษะ จะช่วยให้ทุกคนสามารถเติบโตไปพร้อมกันได้
  9. สร้างแพลตฟอร์มให้ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้
    คนทุกวัยต้องการมีเสียงในองค์กร ผู้นำสามารถใช้แบบสอบถาม หรือเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อให้ทุกคนรู้สึกว่าความคิดเห็นของพวกเขามีค่า
  10. เน้นเป้าหมายเดียวกัน แม้จะมีวิธีการที่แตกต่างกัน
    หากทุกคนมุ่งไปในทิศทางเดียวกัน แม้ว่าวิธีการทำงานของแต่ละ Gen จะต่างกัน แต่สุดท้ายองค์กรก็จะสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การบริหารคนต่าง Gen ไม่ใช่เรื่องของการบังคับให้ทุกคนทำงานแบบเดียวกัน แต่เป็นการทำให้แต่ละคนรู้สึกว่าเขามีคุณค่าและสามารถใช้ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ผู้นำที่มองเห็นโอกาสในความหลากหลาย จะสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตในยุคดิจิทัลได้อย่างแข็งแกร่ง 🚀

Scroll to Top